วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเคมี 11

ระวัง ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ มีสเตียรอยด์ปนเปื้อน

อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ ฉลากระบุทะเบียน G 463/46” อันตรายพบสเตียรอยด์ปนเปื้อน แสดงฉลากปลอม
อย. เตือนผู้บริโภค หลังได้รับแจ้งจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ ระวังอย่าหลงเชื่อซื้อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ” บรรจุกระป๋องพลาสติก ฉลากระบุทะเบียนเลขที่ G 463/46 มีขายแพร่หลายตาม ต่างจังหวัด ตรวจพบปนเปื้อนยาสเตียรอยด์ มีผลข้างเคียงสูง อันตรายถึงชีวิต ทั้งยังพบแสดงฉลากปลอม สถาน ที่ตั้ง ณ จ.นครสวรรค์ ตามที่ระบุในฉลากไม่มีอยู่จริง พร้อมกันนี้ อย.กำลังสืบหาต้นตอแหล่งผลิต เพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมายอย่างเข้มงวด
 ตามที่มีผู้บริโภคร้องเรียนผ่านสายด่วน อย. 1556 ให้ตรวจสอบ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ” ใช้เลขทะเบียนปลอม ซึ่งฉลากระบุสถานที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงส่งเรื่องให้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งทาง สสจ. นครสวรรค์ ได้แจ้งกลับมายัง อย. ว่ายาดังกล่าวเคยได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบอยู่เนือง ๆ ซึ่ง “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ” ลักษณะบรรจุอยู่ใน กระป๋องพลาสติก ฉลากระบุทะเบียนเลขที่ G 463/46 ผลิตโดยชมรมแพทย์แผนไทยจังหวัดนครสวรรค์ เลขที่ 1/8 หมู่ 2 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยพบการจำหน่ายในหลายจังหวัด โดยเฉพาะ พื้นที่ทางภาคใต้ และล่าสุดได้รับแจ้งจากจังหวัดระนองว่า โรงพยาบาลชุมชนตรวจพบสารสเตียรอยด์ในยาดังกล่าวที่ได้จากผู้ป่วย หลังการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่พบว่า สถานที่ตั้งดังกล่าวในเขตจังหวัดนครสวรรค์ไม่มีอยู่จริง และชมรมแพทย์แผนไทยจังหวัดนครสวรรค์ก็ไม่มีตัวตน ที่สำคัญไม่มีการขึ้นทะเบียนยาดังกล่าวในจังหวัดนครสวรรค์แต่อย่างใด ทั้งนี้ ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ได้มีหนังสือถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดให้ตรวจสอบการจำหน่ายยาสมุนไพรดังกล่าวในพื้นที่ หากตรวจพบให้ ดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเข้มงวด ในส่วนของ อย. กำลังดำเนินการสืบสวนหาแหล่งผลิตอีกทางหนึ่งด้วย

ข่าวเคมี 10

หมอเตือนสักผิวอันตราย ใช้สีปนเปื้อน-เสี่ยงมะเร็ง

สมาคมแพทย์ผิวหนังฯออกโรงเตือนพวกนิยม "สัก" ระวังผิวหนังเกิดภาวะแทรกซ้อน ติดเชื้อ เลือดออก บวม คัน เป็นหนอง ฯลฯ อาจถึงขั้นเสี่ยงมะเร็งหากใช้สีผิดประเภท ชี้ ปท.ไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุม
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นพ.เวสารัช เวสสโกวิท ประธานฝ่ายจริยธรรม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันการสักผิวหนังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย บางคนสักเป็นแฟชั่นเหมือนดาราชื่อดัง บางคนสักเพื่อลดระยะเวลาในการแต่งหน้า อาทิ สักคิ้วถาวร สักริมฝีปากชมพู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีผู้สักถึงร้อยละ 5 ที่รู้สึกเสียใจ เพราะหลังสักอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน พบได้ร้อยละ 75 ของผู้สักทั้งหมด แบ่งเป็น อาการทางผิวหนัง ร้อยละ 68 คือ ตกสะเก็ด คัน เลือดออก บวม ตุ่มน้ำ เป็นหนอง ส่วนอาการทั่วไป ร้อยละ 7 ได้แก่ มึนงง ปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อย และ ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากการสัก ร้อยละ 6 เช่น แผลเป็น บวมเป็นๆ หายๆ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง พบได้หลายอย่าง เช่น อาจทำให้เกิดการแพ้ในบริเวณที่สัก ทำให้ผิวนูน ตะปุ่มตะป่ำ หรือเกิดเป็นแผลเรื้อรัง เนื่องจากแพ้สีที่ใช้สัก
นพ.เวสารัชกล่าวว่า การสักไม่ถาวร ที่เรียกว่า เฮนนา ควรจะใช้เฮนนาที่มาจากธรรมชาติ แต่มีผู้ให้บริการมักง่ายใช้ยาย้อมผมเคมีที่ประกอบไปด้วยสาร paraphenylene diamine ทดแทน ทำให้ผู้ที่ไปใช้บริการเกิดอาการแพ้รุนแรงจนอาจเป็นแผลเป็นถาวร ทั้งนี้ การติดเชื้อจากการสักเกิดได้จากเชื้อหลายชนิด ตั้งแต่ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี เชื้อเอชไอวี แบคทีเรีย และไมโครแบคทีเรีย เชื้อราและซิฟิลิส เป็นต้น

ข่าวเคมี 9

"สารทัลคัม" อันตรายปนเปื้อนในแป้งฝุ่น ที่สาวๆ ต้องระวัง !


แป้งฝุ่นทาตัว หรือจะเป็นแป้งฝุ่นที่ใช้ทาหน้า ซึ่งในปัจจุบันมีวางจำหน่ายหลากหลายรูปแบบ มีคุณสมบัติเน้นความเรียบเนียนของผิวหน้าเป็นพิเศษ ซึ่งในแป้งฝุ่นเหล่านี้ แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีในการช่วยซับความมันบนผิวหน้าได้ดี ทำให้ผิวหน้าดูเป็นธรรมชาติ ไม่ขาวโดดจนเกินงาม ส่วนแป้งฝุ่นสำหรับทาตัวก็ยังช่วยทำให้รู้สบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมตอนนี้ยังมีเป็นแป้งฝุ่นแบบน้ำหอม ปะแป้งให้ตัวหอมแทนการพรมน้ำหอมได้อีกด้วย
หากลองพลิกดูส่วนประกอบของแป้งเหล่านี้ เราจะพบหนึ่งในนั้นเขียนเอาไว้ว่ามี "Talcum" เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารชนิดนี้ไม่ใช่ส่วนผสมที่ผู้ผลิตผสมเข้าไปแต่อย่างใด แต่มาจากกระบวนการผลิตแป้ง เรียกได้ว่าเป็นสารปนเปื้อนชนิดหนึ่งที่มีอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว สาวๆ ที่ใช้แป้งฝุ่นกันเป็นประจำ จึงเสี่ยงจะสูดดมเข้าไปและเกิดการสะสม เป็นอันตรายต่อปอดและส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ในอนาคตนั่นเองค่ะ
อันตรายจากสารทัลคัมที่ควรรู้
อันตรายจากสารชนิดนี้จะไม่ส่งผลกับร่างกายโดยทันที แป้งฝุ่นแต่ละชนิดก็จะมีสัดส่วนการปนเปื้อนที่แตกต่างกันออกไป ทัลคัมเป็นแร่ใยหิน ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ เมื่อสูดดมเข้าสู่ปอดแล้วเกิดการสะสมไปเรื่อย เซลล์เยื่อบุภายในปอดจะมีการดักจับแป้ง ส่งผลกระทบต่อระบบหายใจตามมา ส่วนที่พบในแป้งฝุ่นทาตัว หากใช้ในระยะยาวจะเกิดความเสี่ยงทำให้เป็นโรคมะเร็งรังไข่ในสาวๆ ได้ง่าย แป้งฝุ่นจึงเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรใช้ใต้ร่มผ้า หรือทาที่บริเวณใกล้เคียงกับน้องสาวที่มีความบอบบาง มีโอกาสที่ฝุ่นแป้งจะเข้าไประคายเคืองภายในช่อคลอด เกิดเป็นอาการผิดปกติต่างๆ ตามมาได้

ข่าวเคมี 8

ทลายร้านจัดฟันเถื่อน พบเหล็กดัดปนเปื้อนสารหนู เสี่ยงติดเชื้อ HIV และ ไวรัสตับอักเสบ


เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 9 มิ.ย. 61 ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.บช.น.) พ.ต.อ.จิรกฤต จารุยภัทร์ ผกก.ดส., พ.ต.ท.ปียรัช เวสสะโกศล สว.กก.ดส., รศ.ทญ.นิตา วิวัฒนทีปะ อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของทันตแพทยสภา พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมยึดอุปกรณ์เหล็กดัดฟันแฟชั่นเถื่อนผิดกฎหมาย เช่น รีเทนเนอร์ ยางยึดฟัน เครื่องกรอจำนวนมาก โดยยึดของกลางเหล่านี้ได้ที่ร้านพลอยและร้านพิ้งค์ ภายในตลาดสายใต้ใหม่เซ็นเตอร์ แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน เป็นชาย 1 คน ชื่อนายสุทันว์ หรือไกด์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี เจ้าของร้านพิงค์ และหญิง 1 คนชื่อ น.ส.พรธิรา หรือพลอย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี เจ้าของร้านพลอย
รศ.ทญ.นิตากล่าวว่า การตรวจยึดดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างทันตแพทยสภา โดยได้รับเบาะแสว่ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นมาจัดฟันแฟชั่นตามตลาดนัดเป็นจำนวนมาก จึงนำกำลังไปตรวจค้นและจับกุมที่จุดเกิดเหตุ ทั้งนี้การจัดฟันแฟชั่นเป็นการจัดฟันเทียม โดยใช้อุปกรณ์จัดฟันของจริง แต่เป็นการเลียนแบบ ทำเพื่อความสวยงามไม่ใช่เพื่อการรักษา โดยเครื่องมือก็ไม่ได้มาตรฐาน สั่งซื้อจากประเทศจีนซึ่งมีสารหนูอยู่ในโลหะดัดฟันเหล่านี้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทาง อย.

อีกทั้งคนที่ทำก็ไม่ใช่ทันตแพทย์ เป็นคนทั่วไป เหล็กดัดฟันอาจเกี่ยวเหยือก ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โรคเริม ไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตได้ เนื่องจากอุปกรณ์ไม่สะอาด ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อ ร้านที่รับทำเหล่านี้ก็ทำกันในตลาดนัด ไม่ได้มาตรฐาน ราคาเพียงหลักร้อย จึงประสานกำลังตำรวจไปจับกุม
รศ.ทญ.นิตา กล่าวต่อว่า สำหรับความผิดนั้น มีความผิดตาม 1.พ.ร.บ.วิชาชีพทันตกรรม พ.ศ.2537 มาตรา 50 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาทันตกรรม จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 57 ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับพร้อมริบของกลางทั้งหมด 3.คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 1/2561 เรื่องห้ามขายสินค้าอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่น จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพอ้างว่า เปิดมาได้ 2 เดือน โดยไปซื้ออุปกรณ์เหล็กดัดฟันแฟชั่นจากตลาดเสือป่า โดยสาเหตุที่ทำเป็นนั้น เพราะมีคนสอนครูพักลักจำกันมา โดยไม่ได้จบทางด้านทันตแพทย์หรือมีใบอนุญาตวิชาชีพแต่อย่างใด ทางเจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ประชาชนที่พบเบาะแสเหล็กดัดฟันแฟชั่นให้แจ้งมาได้ที่เพจ “มือปราบหมอฟันเถื่อน” ได้ตลอด 24 ชม.

ข่าวเคมี 7

9 จุดในบ้านที่มักพบภัยอันตราย สารปนเปื้อนและแหล่งสะสมโรค

จากข่าวคราวที่ใครหลายคนน่าจะเคยเห็นเกี่ยวกับสารปนเปื้อนที่อยู่รอบตัวไม่เว้นแม้กระทั่งถุงพลาสติกสีดำที่ใช้ใส่อาหารและของทั่วไปที่คนนิยมใช้และการสะสมของเชื้อโรคในที่พักอาศัยซึ่งส่งผลเสียต่อตัวเจ้าของรวมถึงคนรอบข้าง 
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำความสะอาดบ้านในจุดใหญ่ๆ สามารถช่วยให้บ้านของเราดูสะอาด เรียบร้อย ดูน่ามอง แต่ความจริงยังมีจุดสกปรกเล็กๆ ที่ถูกมองข้ามจนเกิดเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคในที่สุด โดยเฉพาะฝุ่น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถอยู่ในบ้านได้อย่างมีความสุข จึงไม่ควรลืมทำความสะอาดจุดต่างๆ เหล่านี้
1.สวิตช์ไฟ
การที่เราสัมผัสกับสวิตช์ไฟหลายๆ ครั้งโดยไม่เคยทำความสะอาด ทำให้กลายเป็นจุดที่มีเชื้อโรคสะสมอยู่เพียบ เพียงแต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงมากถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคไปสู่บุคคลอื่นๆ จากการสัมผัสอีกด้วย ซึ่งเราสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้โดยฉีดแอลกอฮอล์ลงบนผ้า แล้วนำไปเช็ดสวิตช์ไฟให้ทั่ว ก่อนจะนำผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกรอบ เท่านี้ก็ช่วยให้สวิตช์ไฟปราศจากเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
2.ก๊อกน้ำ
ก๊อกน้ำเป็นอีกหนึ่งจุดสกปรกในบ้าน ที่หลายคนมักลืมทำความสะอาด ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย เราสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เพียงแค่เช็ดด้วยน้ำร้อนหรือน้ำสบู่แล้วล้างออก หรือถ้าอยากเพิ่มความเงางาม ให้ขัดด้วยเบกกิ้งโซดาผสมน้ำมะนาว ก็ทำให้ก๊อกน้ำกลับมาสะอาดเงางามได้เหมือนกัน
3.ม่านห้องน้ำ
ม่านในห้องน้ำไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือผ้าก็มีโอกาสเกิดเชื้อราได้ง่าย เนื่องจาก อากาศอบอ้าวและมีความชื้นสูง ซึ่งนอกจากจะไม่น่าใช้งานแล้ว เชื้อรายังเป็นพิษต่อร่างกาย หากมีการปนเปื้อนไปในอาหาร ซึ่งพิษจากเชื้อรามักจะเป็นอันตรายต่อระบบต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดี
หากผ้าม่านที่เป็นผ้า สามารถถอดซักรวมกับผ้าอื่นได้เลย จากนั้นให้ตากแดดจัด เพื่อกำจัดเชื้อรา แต่หากเป็นม่านพลาสติกให้ใช้เบกกิ้งโซดาถูบริเวณที่เป็นเชื้อราออกก่อน แล้วจึงนำไปปั่นในเครื่องซักผ้าร่วมกับผ้าขนหนูเก่า ๆ สักผืน โดยไม่ต้องใส่ผงซักฟอก แต่ให้ใส่น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยลงไปแทน เมื่อเครื่องซักเสร็จให้รีบนำออกมาตากแดดให้แห้ง โดยที่ไม่ต้องปั่นแห้ง เท่านี้คราบเชื้อราต่างๆ ก็จะหายไป
4.ลูกบิดประตู
มือจับประตูและลูกบิดคือจุดอันตรายจากเชื้อโรคอีกจุดหนึ่งที่ถูกมองข้าม โดยเชื่อว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของเชื้อโรคอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมือจับประตูและลูกบิดประตูบ้าน ซึ่งการหมั่นล้างมือและเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง เป็นการช่วยทำให้มือจับประตูและลูกบิดปราศจากเชื้อโรคได้
5.ราวจับบันได
เช่นเดียวกับลูกบิดประตู เนื่องจากผู้อยู่อาศัยต้องสัมผัสกับราวจับบันไดทุกวัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยพยุงตัว การเช็ดราวจับบันไดให้สะอาด นอกจากจะสวยงามน่ามองยังป้องกันเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย ส่วนการทำความสะอาดสามารถทำได้โดยผสมน้ำร้อนและน้ำส้มสายชูเข้าด้วยกัน จากนั้นนำผ้าจุ่มแล้วบิดออกให้ผ้าเปียกหมาดๆ นำไปเช็ดราวบันได แล้วใช้ผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกครั้ง
6.ต้นไม้ในบ้าน
ไม่ว่าจะต้นไม้จริงหรือต้นไม้ปลอม ใบไม้ก็เป็นแหล่งสะสมฝุ่นและสิ่งสกปรก โดยเฉพาะต้นไม้ที่อยู่ในห้องนอน เพราะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง โดยโรคภูมิแพ้ชนิดใดที่พบบ่อยมากที่สุดในประเทศไทย คือ โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ (โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ ร้อยละ 23-50 และโรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหืด ร้อยละ 10-15) เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดที่พบบ่อยมากที่สุดในประเทศไทยและเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ซึ่งภายในระยะเวลา 20 ปี ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มมากถึง 3-4 เท่า
สำหรับการทำความสะอาดต้นไม้จริงให้ยกไปฉีดน้ำล้างสิ่งสกปรกออกได้เลย แต่ถ้าเกิดว่าต้นไม้มีขนาดใหญ่เกินไป ก็ให้นำผ้าไมโครไฟเบอร์มาเช็ดทำความสะอาดทีละใบแทน ส่วนต้นไม้ปลอมก็สามารถทำความสะอาดได้ง่ายๆ โดยการใช้ไดร์เป่าผมเป่าฝุ่นออก ที่สำคัญอย่าลืมคาดผ้าปิดปากปิดจมูกป้องกันฝุ่นละออง
7.ถังขยะ
ต่อให้กำจัดขยะออกจากถังขยะแทบทุกวัน แต่แบคทีเรียและกลิ่นเหม็นก็ยังคงตกค้างและสะสมอยู่ในถังขยะได้ ฉะนั้นทางที่ดีอย่าลืมล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อพร้อมกับขัดสิ่งสกปรกออก รับรองว่าเชื้อโรคและกลิ่นในถังขยะหายเกลี้ยงแน่นอน
8.มุ้งลวด มู่ลี่
เป็นแหล่งสะสมฝุ่นเพราะทำความสะอาดยาก อีกทั้งโดยมากมักจะถูกมองข้ามเพราะไม่จำเป็น สำหรับมุ้งลวดทำความสะอาดได้โดยราดด้วยน้ำสบู่แล้วใช้แปรงขัดออก ก่อนนำไปผึ่งให้แห้ง ในระหว่างนี้ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรางมุ้งลวดให้สะอาด ส่วนฝุ่นบนมูลี่ก็กำจัดได้โดยใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ละซี่ จากนั้นใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำอีกรอบ เผื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำ
9.เฟอร์นิเจอร์
มักพบสารเคมีอันตรายประเภทฟอร์มัลดีไฮด์ เนื่องจากสารชนิดนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมสี กาว และสารเคลือบเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม้อัด และไม้แปรรูปอื่นๆ ไอระเหยของสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่แฝงอยู่สิ่งเหล่าเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย หากได้รับสารระเหยในจำนวนน้อย อาจเกิดอาการระคายเคืองได้ เช่น แสบตาหรือแสบจมูก แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดผลเสียกับระบบร่างกายต่างๆ หรือก่อให้เกิดมะเร็งได้ ผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือตรวจสอบเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมากับบ้านว่า มีคำเตือนถึงการใช้สารฟอร์มัลดีไฮด์ และได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่ เพื่อสุขภาวะที่ดีในการพักอาศัย

ข่าวเคมี 6

คุมเข้มสารเคมี 11 ชนิด


นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรกำลังพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการ การนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยเฉพาะสารที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังที่มีอยู่ 11 ชนิด ซึ่งส่วนมากเป็นสารที่ใช้กำจัดแมลง อาทิ อัลดิคาร์บ (Aldicarb) ออกซามิล (Oxamyl) เป็นต้น โดยจำกัดปริมาณการนำเข้า จากเดิมเมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าวัตถุอันตรายได้โดยไม่มีการกำหนดปริมาณการนำเข้า “ถ้าวัตถุอันตรายที่ขึ้นทะเบียนแล้วพบข้อมูลความเป็นพิษสูงและพบสารพิษตกค้างในผลิตผลทางการเกษตรสูงเกินค่ามาตรฐาน (MRLs) 0.01 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะพิจารณาจำกัดการใช้ทันที และหากไม่สามารถแก้ไขได้ก็จะเสนอเข้าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นำเข้า และมีไว้ในครอบครองต่อไป” นายสุวิทย์กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 54 ถึงปัจจุบัน ได้พิจารณาออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรแล้ว 9,534 ทะเบียน แต่ยังคงมีคำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่รอการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายแต่ละชนิดต้องไม่เกิดผลกระทบต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงต้องรอบคอบ สำหรับข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 54-59 มีการนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตรแล้วกว่า 789,382 ตัน รวมมูลค่ากว่า 128,619 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าสารเคมี 3 ประเภท คือ 1.สารกำจัดวัชพืช 2.สารกำจัดแมลง 
และ 3.สารป้องกันเเละกำจัดพืช

ที่มาhttps://www.thairath.co.th/content/860230

ข่าวเคมี 5

ทำงานเกี่ยวกับสารเคมีเสี่ยงมะเร็ง

ปัจจุบัน ชีวิตการทำงาน มีโอกาสเสี่ยงกับมลภาวะและสารพิษ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสารเคมี มีโอกาสสัมผัสสารก่อมะเร็ง ผ่านการสูดดมและสัมผัสทางผิวหนังแนะหลีกเลี่ยงด้วยการสวมชุดป้องกัน หรือปฏิบัติงานในที่อากาศถ่ายเท ร.ต.นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และพิษวิทยา บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ (N Health) เปิดเผยว่า ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสารเคมีชนิดต่างๆ มีโอกาสสูงที่จะสัมผัสกับสารเมทธิล ไอโซบิวทิล คีโตน (MIBK) ที่มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นหอมหวาน ติดไฟและระเหยเป็นไอได้ นิยมใช้เป็นตัวทำละลาย ได้แก่ การผลิตสี น้ำมันเคลือบเงา แล็กเกอร์ หมึก สีสเปรย์ กาว ไนโตรเซลลูโลส เทปแม่เหล็ก สารกึ่งตัวนำ และผลิตภัณฑ์อุดรอยรั่ว นอกจากนี้ยังใช้สำหรับการล้างคราบมันบนผิวโลหะ มีโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็ง เนื่องจากสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ได้บรรจุสาร MIBK อยู่ในกลุ่มของสารที่อาจจะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์

ข่าวเคมี 11

ระวัง ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ มีสเตียรอยด์ปนเปื้อน อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ ฉลากระบุทะเบียน G 463/46” อันตรายพบสเต...