เคมี

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเคมี 11

ระวัง ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ มีสเตียรอยด์ปนเปื้อน

อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ ฉลากระบุทะเบียน G 463/46” อันตรายพบสเตียรอยด์ปนเปื้อน แสดงฉลากปลอม
อย. เตือนผู้บริโภค หลังได้รับแจ้งจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ ระวังอย่าหลงเชื่อซื้อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ” บรรจุกระป๋องพลาสติก ฉลากระบุทะเบียนเลขที่ G 463/46 มีขายแพร่หลายตาม ต่างจังหวัด ตรวจพบปนเปื้อนยาสเตียรอยด์ มีผลข้างเคียงสูง อันตรายถึงชีวิต ทั้งยังพบแสดงฉลากปลอม สถาน ที่ตั้ง ณ จ.นครสวรรค์ ตามที่ระบุในฉลากไม่มีอยู่จริง พร้อมกันนี้ อย.กำลังสืบหาต้นตอแหล่งผลิต เพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมายอย่างเข้มงวด
 ตามที่มีผู้บริโภคร้องเรียนผ่านสายด่วน อย. 1556 ให้ตรวจสอบ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ” ใช้เลขทะเบียนปลอม ซึ่งฉลากระบุสถานที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงส่งเรื่องให้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งทาง สสจ. นครสวรรค์ ได้แจ้งกลับมายัง อย. ว่ายาดังกล่าวเคยได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบอยู่เนือง ๆ ซึ่ง “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ” ลักษณะบรรจุอยู่ใน กระป๋องพลาสติก ฉลากระบุทะเบียนเลขที่ G 463/46 ผลิตโดยชมรมแพทย์แผนไทยจังหวัดนครสวรรค์ เลขที่ 1/8 หมู่ 2 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยพบการจำหน่ายในหลายจังหวัด โดยเฉพาะ พื้นที่ทางภาคใต้ และล่าสุดได้รับแจ้งจากจังหวัดระนองว่า โรงพยาบาลชุมชนตรวจพบสารสเตียรอยด์ในยาดังกล่าวที่ได้จากผู้ป่วย หลังการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่พบว่า สถานที่ตั้งดังกล่าวในเขตจังหวัดนครสวรรค์ไม่มีอยู่จริง และชมรมแพทย์แผนไทยจังหวัดนครสวรรค์ก็ไม่มีตัวตน ที่สำคัญไม่มีการขึ้นทะเบียนยาดังกล่าวในจังหวัดนครสวรรค์แต่อย่างใด ทั้งนี้ ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ได้มีหนังสือถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดให้ตรวจสอบการจำหน่ายยาสมุนไพรดังกล่าวในพื้นที่ หากตรวจพบให้ ดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเข้มงวด ในส่วนของ อย. กำลังดำเนินการสืบสวนหาแหล่งผลิตอีกทางหนึ่งด้วย
ที่มา
http://club.sanook.com/49995/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99/
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 10

หมอเตือนสักผิวอันตราย ใช้สีปนเปื้อน-เสี่ยงมะเร็ง

สมาคมแพทย์ผิวหนังฯออกโรงเตือนพวกนิยม "สัก" ระวังผิวหนังเกิดภาวะแทรกซ้อน ติดเชื้อ เลือดออก บวม คัน เป็นหนอง ฯลฯ อาจถึงขั้นเสี่ยงมะเร็งหากใช้สีผิดประเภท ชี้ ปท.ไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุม
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นพ.เวสารัช เวสสโกวิท ประธานฝ่ายจริยธรรม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันการสักผิวหนังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย บางคนสักเป็นแฟชั่นเหมือนดาราชื่อดัง บางคนสักเพื่อลดระยะเวลาในการแต่งหน้า อาทิ สักคิ้วถาวร สักริมฝีปากชมพู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีผู้สักถึงร้อยละ 5 ที่รู้สึกเสียใจ เพราะหลังสักอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน พบได้ร้อยละ 75 ของผู้สักทั้งหมด แบ่งเป็น อาการทางผิวหนัง ร้อยละ 68 คือ ตกสะเก็ด คัน เลือดออก บวม ตุ่มน้ำ เป็นหนอง ส่วนอาการทั่วไป ร้อยละ 7 ได้แก่ มึนงง ปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อย และ ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากการสัก ร้อยละ 6 เช่น แผลเป็น บวมเป็นๆ หายๆ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง พบได้หลายอย่าง เช่น อาจทำให้เกิดการแพ้ในบริเวณที่สัก ทำให้ผิวนูน ตะปุ่มตะป่ำ หรือเกิดเป็นแผลเรื้อรัง เนื่องจากแพ้สีที่ใช้สัก
นพ.เวสารัชกล่าวว่า การสักไม่ถาวร ที่เรียกว่า เฮนนา ควรจะใช้เฮนนาที่มาจากธรรมชาติ แต่มีผู้ให้บริการมักง่ายใช้ยาย้อมผมเคมีที่ประกอบไปด้วยสาร paraphenylene diamine ทดแทน ทำให้ผู้ที่ไปใช้บริการเกิดอาการแพ้รุนแรงจนอาจเป็นแผลเป็นถาวร ทั้งนี้ การติดเชื้อจากการสักเกิดได้จากเชื้อหลายชนิด ตั้งแต่ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี เชื้อเอชไอวี แบคทีเรีย และไมโครแบคทีเรีย เชื้อราและซิฟิลิส เป็นต้น
ที่มา https://www.sanook.com/men/9029/
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 9

"สารทัลคัม" อันตรายปนเปื้อนในแป้งฝุ่น ที่สาวๆ ต้องระวัง !


แป้งฝุ่นทาตัว หรือจะเป็นแป้งฝุ่นที่ใช้ทาหน้า ซึ่งในปัจจุบันมีวางจำหน่ายหลากหลายรูปแบบ มีคุณสมบัติเน้นความเรียบเนียนของผิวหน้าเป็นพิเศษ ซึ่งในแป้งฝุ่นเหล่านี้ แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีในการช่วยซับความมันบนผิวหน้าได้ดี ทำให้ผิวหน้าดูเป็นธรรมชาติ ไม่ขาวโดดจนเกินงาม ส่วนแป้งฝุ่นสำหรับทาตัวก็ยังช่วยทำให้รู้สบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมตอนนี้ยังมีเป็นแป้งฝุ่นแบบน้ำหอม ปะแป้งให้ตัวหอมแทนการพรมน้ำหอมได้อีกด้วย
หากลองพลิกดูส่วนประกอบของแป้งเหล่านี้ เราจะพบหนึ่งในนั้นเขียนเอาไว้ว่ามี "Talcum" เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารชนิดนี้ไม่ใช่ส่วนผสมที่ผู้ผลิตผสมเข้าไปแต่อย่างใด แต่มาจากกระบวนการผลิตแป้ง เรียกได้ว่าเป็นสารปนเปื้อนชนิดหนึ่งที่มีอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว สาวๆ ที่ใช้แป้งฝุ่นกันเป็นประจำ จึงเสี่ยงจะสูดดมเข้าไปและเกิดการสะสม เป็นอันตรายต่อปอดและส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ในอนาคตนั่นเองค่ะ
อันตรายจากสารทัลคัมที่ควรรู้
อันตรายจากสารชนิดนี้จะไม่ส่งผลกับร่างกายโดยทันที แป้งฝุ่นแต่ละชนิดก็จะมีสัดส่วนการปนเปื้อนที่แตกต่างกันออกไป ทัลคัมเป็นแร่ใยหิน ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ เมื่อสูดดมเข้าสู่ปอดแล้วเกิดการสะสมไปเรื่อย เซลล์เยื่อบุภายในปอดจะมีการดักจับแป้ง ส่งผลกระทบต่อระบบหายใจตามมา ส่วนที่พบในแป้งฝุ่นทาตัว หากใช้ในระยะยาวจะเกิดความเสี่ยงทำให้เป็นโรคมะเร็งรังไข่ในสาวๆ ได้ง่าย แป้งฝุ่นจึงเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรใช้ใต้ร่มผ้า หรือทาที่บริเวณใกล้เคียงกับน้องสาวที่มีความบอบบาง มีโอกาสที่ฝุ่นแป้งจะเข้าไประคายเคืองภายในช่อคลอด เกิดเป็นอาการผิดปกติต่างๆ ตามมาได้
ที่มา https://www.sanook.com/women/56723/
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 8

ทลายร้านจัดฟันเถื่อน พบเหล็กดัดปนเปื้อนสารหนู เสี่ยงติดเชื้อ HIV และ ไวรัสตับอักเสบ


เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 9 มิ.ย. 61 ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.บช.น.) พ.ต.อ.จิรกฤต จารุยภัทร์ ผกก.ดส., พ.ต.ท.ปียรัช เวสสะโกศล สว.กก.ดส., รศ.ทญ.นิตา วิวัฒนทีปะ อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของทันตแพทยสภา พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมยึดอุปกรณ์เหล็กดัดฟันแฟชั่นเถื่อนผิดกฎหมาย เช่น รีเทนเนอร์ ยางยึดฟัน เครื่องกรอจำนวนมาก โดยยึดของกลางเหล่านี้ได้ที่ร้านพลอยและร้านพิ้งค์ ภายในตลาดสายใต้ใหม่เซ็นเตอร์ แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน เป็นชาย 1 คน ชื่อนายสุทันว์ หรือไกด์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี เจ้าของร้านพิงค์ และหญิง 1 คนชื่อ น.ส.พรธิรา หรือพลอย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี เจ้าของร้านพลอย
รศ.ทญ.นิตากล่าวว่า การตรวจยึดดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างทันตแพทยสภา โดยได้รับเบาะแสว่ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นมาจัดฟันแฟชั่นตามตลาดนัดเป็นจำนวนมาก จึงนำกำลังไปตรวจค้นและจับกุมที่จุดเกิดเหตุ ทั้งนี้การจัดฟันแฟชั่นเป็นการจัดฟันเทียม โดยใช้อุปกรณ์จัดฟันของจริง แต่เป็นการเลียนแบบ ทำเพื่อความสวยงามไม่ใช่เพื่อการรักษา โดยเครื่องมือก็ไม่ได้มาตรฐาน สั่งซื้อจากประเทศจีนซึ่งมีสารหนูอยู่ในโลหะดัดฟันเหล่านี้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทาง อย.

อีกทั้งคนที่ทำก็ไม่ใช่ทันตแพทย์ เป็นคนทั่วไป เหล็กดัดฟันอาจเกี่ยวเหยือก ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โรคเริม ไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตได้ เนื่องจากอุปกรณ์ไม่สะอาด ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อ ร้านที่รับทำเหล่านี้ก็ทำกันในตลาดนัด ไม่ได้มาตรฐาน ราคาเพียงหลักร้อย จึงประสานกำลังตำรวจไปจับกุม
รศ.ทญ.นิตา กล่าวต่อว่า สำหรับความผิดนั้น มีความผิดตาม 1.พ.ร.บ.วิชาชีพทันตกรรม พ.ศ.2537 มาตรา 50 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาทันตกรรม จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 57 ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับพร้อมริบของกลางทั้งหมด 3.คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 1/2561 เรื่องห้ามขายสินค้าอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่น จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพอ้างว่า เปิดมาได้ 2 เดือน โดยไปซื้ออุปกรณ์เหล็กดัดฟันแฟชั่นจากตลาดเสือป่า โดยสาเหตุที่ทำเป็นนั้น เพราะมีคนสอนครูพักลักจำกันมา โดยไม่ได้จบทางด้านทันตแพทย์หรือมีใบอนุญาตวิชาชีพแต่อย่างใด ทางเจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ประชาชนที่พบเบาะแสเหล็กดัดฟันแฟชั่นให้แจ้งมาได้ที่เพจ “มือปราบหมอฟันเถื่อน” ได้ตลอด 24 ชม.
ที่มา https://www.sanook.com/news/6754526/
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 7

9 จุดในบ้านที่มักพบภัยอันตราย สารปนเปื้อนและแหล่งสะสมโรค

จากข่าวคราวที่ใครหลายคนน่าจะเคยเห็นเกี่ยวกับสารปนเปื้อนที่อยู่รอบตัวไม่เว้นแม้กระทั่งถุงพลาสติกสีดำที่ใช้ใส่อาหารและของทั่วไปที่คนนิยมใช้และการสะสมของเชื้อโรคในที่พักอาศัยซึ่งส่งผลเสียต่อตัวเจ้าของรวมถึงคนรอบข้าง 
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำความสะอาดบ้านในจุดใหญ่ๆ สามารถช่วยให้บ้านของเราดูสะอาด เรียบร้อย ดูน่ามอง แต่ความจริงยังมีจุดสกปรกเล็กๆ ที่ถูกมองข้ามจนเกิดเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคในที่สุด โดยเฉพาะฝุ่น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถอยู่ในบ้านได้อย่างมีความสุข จึงไม่ควรลืมทำความสะอาดจุดต่างๆ เหล่านี้
1.สวิตช์ไฟ
การที่เราสัมผัสกับสวิตช์ไฟหลายๆ ครั้งโดยไม่เคยทำความสะอาด ทำให้กลายเป็นจุดที่มีเชื้อโรคสะสมอยู่เพียบ เพียงแต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงมากถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคไปสู่บุคคลอื่นๆ จากการสัมผัสอีกด้วย ซึ่งเราสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้โดยฉีดแอลกอฮอล์ลงบนผ้า แล้วนำไปเช็ดสวิตช์ไฟให้ทั่ว ก่อนจะนำผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกรอบ เท่านี้ก็ช่วยให้สวิตช์ไฟปราศจากเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
2.ก๊อกน้ำ
ก๊อกน้ำเป็นอีกหนึ่งจุดสกปรกในบ้าน ที่หลายคนมักลืมทำความสะอาด ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย เราสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เพียงแค่เช็ดด้วยน้ำร้อนหรือน้ำสบู่แล้วล้างออก หรือถ้าอยากเพิ่มความเงางาม ให้ขัดด้วยเบกกิ้งโซดาผสมน้ำมะนาว ก็ทำให้ก๊อกน้ำกลับมาสะอาดเงางามได้เหมือนกัน
3.ม่านห้องน้ำ
ม่านในห้องน้ำไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือผ้าก็มีโอกาสเกิดเชื้อราได้ง่าย เนื่องจาก อากาศอบอ้าวและมีความชื้นสูง ซึ่งนอกจากจะไม่น่าใช้งานแล้ว เชื้อรายังเป็นพิษต่อร่างกาย หากมีการปนเปื้อนไปในอาหาร ซึ่งพิษจากเชื้อรามักจะเป็นอันตรายต่อระบบต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดี
หากผ้าม่านที่เป็นผ้า สามารถถอดซักรวมกับผ้าอื่นได้เลย จากนั้นให้ตากแดดจัด เพื่อกำจัดเชื้อรา แต่หากเป็นม่านพลาสติกให้ใช้เบกกิ้งโซดาถูบริเวณที่เป็นเชื้อราออกก่อน แล้วจึงนำไปปั่นในเครื่องซักผ้าร่วมกับผ้าขนหนูเก่า ๆ สักผืน โดยไม่ต้องใส่ผงซักฟอก แต่ให้ใส่น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยลงไปแทน เมื่อเครื่องซักเสร็จให้รีบนำออกมาตากแดดให้แห้ง โดยที่ไม่ต้องปั่นแห้ง เท่านี้คราบเชื้อราต่างๆ ก็จะหายไป
4.ลูกบิดประตู
มือจับประตูและลูกบิดคือจุดอันตรายจากเชื้อโรคอีกจุดหนึ่งที่ถูกมองข้าม โดยเชื่อว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของเชื้อโรคอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมือจับประตูและลูกบิดประตูบ้าน ซึ่งการหมั่นล้างมือและเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง เป็นการช่วยทำให้มือจับประตูและลูกบิดปราศจากเชื้อโรคได้
5.ราวจับบันได
เช่นเดียวกับลูกบิดประตู เนื่องจากผู้อยู่อาศัยต้องสัมผัสกับราวจับบันไดทุกวัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยพยุงตัว การเช็ดราวจับบันไดให้สะอาด นอกจากจะสวยงามน่ามองยังป้องกันเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย ส่วนการทำความสะอาดสามารถทำได้โดยผสมน้ำร้อนและน้ำส้มสายชูเข้าด้วยกัน จากนั้นนำผ้าจุ่มแล้วบิดออกให้ผ้าเปียกหมาดๆ นำไปเช็ดราวบันได แล้วใช้ผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกครั้ง
6.ต้นไม้ในบ้าน
ไม่ว่าจะต้นไม้จริงหรือต้นไม้ปลอม ใบไม้ก็เป็นแหล่งสะสมฝุ่นและสิ่งสกปรก โดยเฉพาะต้นไม้ที่อยู่ในห้องนอน เพราะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง โดยโรคภูมิแพ้ชนิดใดที่พบบ่อยมากที่สุดในประเทศไทย คือ โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ (โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ ร้อยละ 23-50 และโรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหืด ร้อยละ 10-15) เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดที่พบบ่อยมากที่สุดในประเทศไทยและเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ซึ่งภายในระยะเวลา 20 ปี ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มมากถึง 3-4 เท่า
สำหรับการทำความสะอาดต้นไม้จริงให้ยกไปฉีดน้ำล้างสิ่งสกปรกออกได้เลย แต่ถ้าเกิดว่าต้นไม้มีขนาดใหญ่เกินไป ก็ให้นำผ้าไมโครไฟเบอร์มาเช็ดทำความสะอาดทีละใบแทน ส่วนต้นไม้ปลอมก็สามารถทำความสะอาดได้ง่ายๆ โดยการใช้ไดร์เป่าผมเป่าฝุ่นออก ที่สำคัญอย่าลืมคาดผ้าปิดปากปิดจมูกป้องกันฝุ่นละออง
7.ถังขยะ
ต่อให้กำจัดขยะออกจากถังขยะแทบทุกวัน แต่แบคทีเรียและกลิ่นเหม็นก็ยังคงตกค้างและสะสมอยู่ในถังขยะได้ ฉะนั้นทางที่ดีอย่าลืมล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อพร้อมกับขัดสิ่งสกปรกออก รับรองว่าเชื้อโรคและกลิ่นในถังขยะหายเกลี้ยงแน่นอน
8.มุ้งลวด มู่ลี่
เป็นแหล่งสะสมฝุ่นเพราะทำความสะอาดยาก อีกทั้งโดยมากมักจะถูกมองข้ามเพราะไม่จำเป็น สำหรับมุ้งลวดทำความสะอาดได้โดยราดด้วยน้ำสบู่แล้วใช้แปรงขัดออก ก่อนนำไปผึ่งให้แห้ง ในระหว่างนี้ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรางมุ้งลวดให้สะอาด ส่วนฝุ่นบนมูลี่ก็กำจัดได้โดยใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ละซี่ จากนั้นใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำอีกรอบ เผื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำ
9.เฟอร์นิเจอร์
มักพบสารเคมีอันตรายประเภทฟอร์มัลดีไฮด์ เนื่องจากสารชนิดนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมสี กาว และสารเคลือบเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม้อัด และไม้แปรรูปอื่นๆ ไอระเหยของสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่แฝงอยู่สิ่งเหล่าเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย หากได้รับสารระเหยในจำนวนน้อย อาจเกิดอาการระคายเคืองได้ เช่น แสบตาหรือแสบจมูก แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดผลเสียกับระบบร่างกายต่างๆ หรือก่อให้เกิดมะเร็งได้ ผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือตรวจสอบเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมากับบ้านว่า มีคำเตือนถึงการใช้สารฟอร์มัลดีไฮด์ และได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่ เพื่อสุขภาวะที่ดีในการพักอาศัย
ที่มา https://www.sanook.com/home/17725/
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 6

คุมเข้มสารเคมี 11 ชนิด


นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรกำลังพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการ การนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยเฉพาะสารที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังที่มีอยู่ 11 ชนิด ซึ่งส่วนมากเป็นสารที่ใช้กำจัดแมลง อาทิ อัลดิคาร์บ (Aldicarb) ออกซามิล (Oxamyl) เป็นต้น โดยจำกัดปริมาณการนำเข้า จากเดิมเมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าวัตถุอันตรายได้โดยไม่มีการกำหนดปริมาณการนำเข้า “ถ้าวัตถุอันตรายที่ขึ้นทะเบียนแล้วพบข้อมูลความเป็นพิษสูงและพบสารพิษตกค้างในผลิตผลทางการเกษตรสูงเกินค่ามาตรฐาน (MRLs) 0.01 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะพิจารณาจำกัดการใช้ทันที และหากไม่สามารถแก้ไขได้ก็จะเสนอเข้าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นำเข้า และมีไว้ในครอบครองต่อไป” นายสุวิทย์กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 54 ถึงปัจจุบัน ได้พิจารณาออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรแล้ว 9,534 ทะเบียน แต่ยังคงมีคำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่รอการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายแต่ละชนิดต้องไม่เกิดผลกระทบต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงต้องรอบคอบ สำหรับข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 54-59 มีการนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตรแล้วกว่า 789,382 ตัน รวมมูลค่ากว่า 128,619 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าสารเคมี 3 ประเภท คือ 1.สารกำจัดวัชพืช 2.สารกำจัดแมลง 
และ 3.สารป้องกันเเละกำจัดพืช

ที่มาhttps://www.thairath.co.th/content/860230
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 5

ทำงานเกี่ยวกับสารเคมีเสี่ยงมะเร็ง

ปัจจุบัน ชีวิตการทำงาน มีโอกาสเสี่ยงกับมลภาวะและสารพิษ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสารเคมี มีโอกาสสัมผัสสารก่อมะเร็ง ผ่านการสูดดมและสัมผัสทางผิวหนังแนะหลีกเลี่ยงด้วยการสวมชุดป้องกัน หรือปฏิบัติงานในที่อากาศถ่ายเท ร.ต.นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และพิษวิทยา บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ (N Health) เปิดเผยว่า ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสารเคมีชนิดต่างๆ มีโอกาสสูงที่จะสัมผัสกับสารเมทธิล ไอโซบิวทิล คีโตน (MIBK) ที่มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นหอมหวาน ติดไฟและระเหยเป็นไอได้ นิยมใช้เป็นตัวทำละลาย ได้แก่ การผลิตสี น้ำมันเคลือบเงา แล็กเกอร์ หมึก สีสเปรย์ กาว ไนโตรเซลลูโลส เทปแม่เหล็ก สารกึ่งตัวนำ และผลิตภัณฑ์อุดรอยรั่ว นอกจากนี้ยังใช้สำหรับการล้างคราบมันบนผิวโลหะ มีโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็ง เนื่องจากสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ได้บรรจุสาร MIBK อยู่ในกลุ่มของสารที่อาจจะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์
ที่มา https://www.posttoday.com/politic/news/495769
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 4


กรมโรงงานอุตสาหกรรม รายงานการจำกัดการใช้ 3 สารปราบศัตรูพืชพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต

กรมโรงงานอุตสาหกรรม  เรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าวรายงานการจำกัดการใช้ 3 สารปราบศัตรูพืชพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตร่วมอัพเดทแนวทางของคณะกรรมการวัตถุอันตรายในการบริหารจัดการสารเคมีปราบศัตรูพืชด้วยมาตรการที่ใหม่ ชัดเจน และเหมาะสมกว่าเดิมอาทิ การควบคุมการใช้ การจำหน่าย ข้อกฎหมาย ฯลฯ

ที่มา https://www.ryt9.com/s/prg/2879193
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 3

สหรัฐตื่น! หลังพบถังบรรจุกากนิวเคลียร์ใต้ดินรั่วไหล

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่สหรัฐอเมริกาได้มีการตรวจพบการรั่วไหลของกากนิวเคลียร์จากถังใต้ดินอย่างน้อย 6 จุด ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แฮนฟอร์ด ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯซึ่งจากเหตุดังกล่าว นายสตีเว่น ชู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ออกมาได้แถลงยอมรับว่าเกิดขึ้นจริง โดยเบื้องต้นประเมินปริมาณสารเคมีที่รั่วไหลอยู่ที่ประมาณ 150-300 แกลลอน และกำลังเร่งตรวจสอบหาสาเหตุ ตลอดจนระยะเวลาของการที่สารเคมีเริ่มรั่วไหล
พร้อมกับยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงแน่นอน เนื่องจากอยู่ห่างจากแหล่งน้ำ และชุมนุม
สำหรับ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แฮนฟอร์ด ถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆ เมื่อช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ กว่า 60 ปีก่อน โดยให้เน้นผลิตพลูโตเนียม ก่อนที่จะปิดตัวลงเมื่อปี 2530 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการสิ้นสุดยุคสงครามเย็น
ที่มา https://news.mthai.com/world-news/220061.html


ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 2

ด่วน!! สารเคมีรั่วไหล ย่านพหลโยธิน 24 ขณะที่เจ้าหน้าที่ปรมณูเพื่อสันติเร่งตรวจสอบ – สั่งอพยพคน

เมื่อเวลาประมาณ 15.20 น. ที่ผ่านมาเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหล ในโกดังสินค้าแห่งซ.พหลฯ 24 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปรมณูเพื่อสันติ เข้าตรวจสอบแล้ว พร้อมสั่งเร่งอพยพคนออกจากพื้นที่ และประกาศให้ประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าว ปิดประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
เบื้องต้นคาดว่า เป็น สารกัมมันตรังสีโคบอลต์ 60 ซึ่งเป็นสารอันตราย ที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ถูกรังสีนี้จะให้เกิดเม็ดเลือดขาวต่ำ มีอาการอ่อนเพลีย มือไหม้พอง และสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งบางคนมีอาการตื่นกลัวไม่ยอมรักษาโดยวิธีฉายรังสีจากโคบอลท์-60 หรือสารรังสีหรือแร่โคบอลท์-60 ประกอบด้วย รังสีแกมม่าและรังสีเบต้าและรังสีที่ใช้เป็นตัวรักษาเป็นอันตราย คือ รังสีแกมมา มีแรงทะลุทลวงมากกว่า รังสีเบต้ามากโคบอลท์-60 เป็นสารรังสีที่ใช้ในทางการแพทย์ในไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2501 โดยปัจจุบันใช้เป็นต้นกำเนิดรังสีแกมม่า สำหรับรักษาโรคมะเร็ง โดยอาศัยคุณสมบัติของรังสีที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็งได้ และปัจจุบันนี้ก็มีผู้ป่วยมะเร็งชาวไทยจำนวนมากมายที่รอดชีวิตจากโรคมะเร็งเกิน 10-30 ปี
ที่มา https://news.mthai.com/general-news/494876.html
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ข่าวเคมี 1

พบสารเคมีรั่ว ซอยกรุงเทพกรีฑา 35 เจ้าหน้าเร่งตรวจสอบ



วันนี้ (18 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งเหตุพบสารเคมีถูกทิ้งลงแหล่งน้ำ บริเวณหน้า บริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ตรงข้ามซอย
กรุงเทพกรีฑา 35 ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สำนักอนามัย เจ้าหน้าที่เขตสะพานสูง ดับเพลิงหัวหมาก และห้วยขวางรุดที่เกิดเหตุ พร้อมนำเครื่องตรวจวัดสารเคมีเพื่อตรวจสอบ พบเป็นสารเคมีรั่วไหลออกมากจากบริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ลงไปที่บริเวณบ่อระบายน้ำด้านหน้าบริษัทจำนวน 3 บ่อ ทำให้น้ำในบ่อที่ 1 และบ่อที่ 2 ลักษณะของน้ำเป็นสีชมพู และบ่อที่ 3
ลักษณะเป็นสีดำมีคราบน้ำมันปะปน โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบชนิดของสารเคมีดังกล่าว และป้องกันสารเคมีรั่วไหลลงสู่คลองสาธารณะ ทั้งนี้ ได้มีการกั้นบริเวณโดยรอบเพื่อป้องกันเหตุและห้ามประชาชนเข้าใกล้ในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบเป็นสาร Kerosene ลักษณะเป็นของเหลวไวไฟ มีคุณสมบัติกัดกร่อน pH5 กระจายตัวในท่ออระบายน้ำหน้าโรงงานประมาณ 200 เมตร ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ใช้กระดาษซับสารที่อยู่บริเวณผิวหน้าและตักใส่ถุง และใช้สารสลายคราบไขมันฉีดพ่น เพื่อกำจัดคราบสารเคมี
ที่มา:https://news.mthai.com/general-news/495946.html
ที่ กันยายน 16, 2561 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

ข่าวเคมี 11

ระวัง ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ มีสเตียรอยด์ปนเปื้อน อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ ฉลากระบุทะเบียน G 463/46” อันตรายพบสเต...

  • ข่าวเคมี 7
    9 จุดในบ้านที่มักพบภัยอันตราย สารปนเปื้อนและแหล่งสะสมโรค จากข่าวคราวที่ใครหลายคนน่าจะเคยเห็นเกี่ยวกับสารปนเปื้อนที่อยู่รอบตัวไม่เว้นแม้ก...
  • ข่าวเคมี 11
    ระวัง ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ มีสเตียรอยด์ปนเปื้อน อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ “ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ ฉลากระบุทะเบียน G 463/46” อันตรายพบสเต...
  • ข่าวเคมี 4
    กรมโรงงานอุตสาหกรรม รายงานการจำกัดการใช้ 3 สารปราบศัตรูพืชพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต กรมโรงงานอุตสาหกรรม  เรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมทำ...

ค้นหาบล็อกนี้

เคมี

  • บทที่ 1
  • บทที่ 2
  • บทที่ 3
  • ข้อสอบ
เรียบง่าย ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
pannita
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน

คลังบทความของบล็อก

  • กันยายน 2018 (11)

รายงานการละเมิด

เรียบง่าย ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.